29.6.08

113.Protecting Your Skin

ป้องกันผิวหนัง & สายตาจากแสงแดด
ตีพิมพ์ครั้งแรก MT News / issue 147.113


แคลิฟอร์เนียใต้เป็นถิ่นที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์
ส่องตรงลงมาเกือบจะตลอดทั้งวัน
ยิ่งได้รวมกับลักษณะภูมิอากาศที่มีอาณาเขตติดทะเล
จึงทำให้เกิดเป็นอิทธิพลความชื้นจากน่านน้ำ
ซึ่งส่งผลให้แสงแดดตกกระทบโดยตรงต่อผิวหนังของเรา
แล้วในแสงแดดเหล่านั้นเอง ก็มีแสงอัลตราไวโอเล็ต
อยู่ประมาณ 3 ช่วงคลื่นใหญ่ๆ คือ

UVA มีความยาวคลื่น 400–315 นาโนเมตร
มีผลทำให้ผิวพรรณคล้ำ

UVB มีความยาวคลื่น 315–280 นาโนเมตร
ทำให้ผิวแสบแดงหลังจากโดนแสงแดด

UVC มีความยาวคลื่นน้อยกว่า 280 นาโนเมตร
ซึ่งมีพลังงานสูงที่สุด และอันตรายที่สุด แต่พบได้น้อย
เพราะบรรยากาศกรองไปหมดแล้ว
ทว่า.. เครื่องมือฆ่าเชื้อในน้ำดื่ม อาจปล่อยรังสีช่วงนี้ออกมาได้เช่นกันค่ะ

ทีนี้ เจ้ารังสีทั้ง 3 คือ UVA, UVB และ UVC
สามารถทำให้คอลลาเจนในผิวหนังเสื่อมสภาพได้
ซึ่งนี่คือเหตุเกิดริ้วรอยก่อนวัย

แต่ UVA มีความรุนแรงน้อยที่สุด
เพราะไม่สามารถก่อให้เกิดอาการแดดเผา (sunburn)
แต่น่ากลัวในแง่ที่สามารถแปลงสภาพ DNA
จนอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้
แต่จุดนี้ ร่างกายก็สามารถป้องกันโดยการสร้างเม็ดสีเมลานินขึ้นมา
เพื่อป้องกันการทะลวงของ UV จึงทำให้ผิวคล้ำดำมากขึ้นนั่นเอง

อ้อ.. นอกจากมีผลเรื่องผิวหนังแล้วนะคะ
UV ยังเป็นอันตรายต่อดวงตาด้วยค่ะ โดยเฉพาะ UVB
จะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า arc eye
คือรู้สึกเหมือนมีทรายเข้าตา
หรือถ้ารุนแรงกว่านั้น ก็อาจทำให้เป็นโรคต้อกระจก (cataract) ได้
ซึ่งแก้ไขได้ด้วยการสวมแว่นป้องกันค่ะ

แล้วคุณทราบมั้ยคะว่า แสงแดดช่วงไหนอันตรายที่สุด
คำตอบคือ 11.00–14.00 น. ค่ะ
เรียกว่า คือช่วงที่แสงแดดมีความแรงมากที่สุด
แม้จะโดนแค่ช่วงเวลาสั้นๆ
หรือจะเป็นวันที่อากาศครึ้ม หรือมีเมฆ ก็โปรดรับทราบว่า
ในวันเหล่านั้น
แสงแดดก็ยังสามารถส่องผ่านทะลุเมฆลงมาทำให้ผิวหมองคล้ำ
และมีอาการแสบแดงได้อย่างสบายๆ
แม้กระทั่งคุณจะยืนยันว่า อยู่ในที่ร่ม
เพราะคุณจะได้รับแสงสะท้อนจากผิวอาคาร พื้นน้ำ
หรือแม้กระทั่งหิมะ ก็สามารถสะท้อนแสงแดดมายังผิวหนังของเราได้เช่นกัน

ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องหันมาดูแล ใส่ใจ ปกป้องผิวจากแสงแดด
ให้มากขึ้น ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้

1.เลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับกิจกรรมประจำวันของคุณ
เช่น ถ้าคุณมีกิจกรรมในช่วงเวลาที่แสงแดดรุนแรง
ก็ต้องใส่เสื้อผ้าสีอ่อน แบบหลวมๆ
และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องแสงแดดจากธรรมชาติ
ที่ผ่านการทดสอบการแพ้แล้ว
และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัมผัสบางเบาในรูปโลชั่น หรือครีม
ด้วยค่า SPF30

2.เลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิว
ถ้าคุณเป็นสิวง่าย ก็ต้องมองหาผลิตภัณฑ์ที่รักษาสมดุลของซีบัมหรือน้ำมัน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิว
และเนื้อผลิตภัณฑ์ควรบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ
เพราะอาจทำให้เกิดอุดตันง่ายขึ้น
ที่สำคัญ ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า
มีส่วนผสมของ AC Oil Control เพื่อลดสาเหตุของการเกิดสิว

คราวนี้ เมื่อเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดได้แล้ว
ก็มาถึงขั้นตอนการทากันแดดอย่างถูกวิธี
ซึ่งปกติแล้ว คนส่วนใหญ่มักจะทาครีมกันแดดน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ทำให้การกระจายตัวของเนื้อครีมไม่สม่ำเสมอ
จึงป้องกันได้ไม่ทั่วถึง

วิธีการทาครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะกับผิวหน้าคือ
ใช้เนื้อครีมขนาดเหรียญควอเตอร์
แล้วแบ่งครีมให้แตะครบ 5 จุดบนใบหน้า คือ

หน้าผาก
ปลายจมูก
คาง
บริเวณแก้มซ้าย และขวา

จากนั้น ค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วไล้เนื้อครีมให้ครอบคลุมในจุดนั้นๆ
อย่าโปะครีมไปที่เดียว แล้วทากระจายออกไป
เพราะ.. มันผิดค่ะ

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งหัดใช้ครีมกันแดด
ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัมผัสบางเบา จะช่วยให้เกลี่ยได้เรียบเนียน
หลังจากนั้น ทาซ้ำอีกครั้งเมื่อจะต้องเผชิญแสงแดดจัดๆ
เนื่องจากในแต่ละชั่วโมงนั้น
ครีมกันแดดได้หลุดออกจากผิวของเรา
ผ่านเหงื่อ ผ่านการเช็ดถู ผ่านการใช้โทรศัพท์
และ ฯลฯ
ดังนั้น การทาซ้ำจะช่วยให้ผิวได้รับการปกป้องอย่างต่อเนื่อง
และคงประสิทธิภาพได้อย่างที่เราต้องการ